KTAM Edutainment
เงินเฟ้อดี กับ เงินเฟ้อร้าย: เข้าใจตัวแปรเศรษฐกิจ พร้อมปรับพอร์ตให้เข้าทาง
14 November 2025
เงินเฟ้อดี กับ เงินเฟ้อร้าย: เข้าใจตัวแปรเศรษฐกิจ พร้อมปรับพอร์ตให้เข้าทาง
ในวัฏจักรระยะยาวของเศรษฐกิจ จะมีทั้งช่วงที่ “เงินเฟ้อดี” ที่เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนการเติบโต และช่วงที่ “เงินเฟ้อร้าย” กลับกลายเป็นแรงกดดันต่อระบบโดยรวม
เงินเฟ้อจึงไม่ใช่แค่เพียงตัวเลขในรายงานเศรษฐกิจ แต่คือภาพสะท้อนของความสมดุลระหว่างอุปสงค์ การผลิต และความเชื่อมั่นของผู้คน ณ ช่วงเวลานั้น
ดังนั้น การเข้าใจธรรมชาติทั้งสองด้านของเงินเฟ้อ จึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับนักลงทุนในการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับจังหวะของเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างมั่นใจ
ก่อนโควิด: เมื่อเงินเฟ้อต่ำเกินไปก็เป็นปัญหา
ก่อนการระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรปกลับเผชิญปัญหาตรงข้ามกับที่คุ้นเคย คือ “เงินเฟ้อต่ำเกินไป”
แม้จะฟังดูดี แต่เงินเฟ้อที่ต่ำเกินไปก็สะท้อนถึงความต้องการในระบบเศรษฐกิจที่อ่อนแรง ประชาชนไม่มั่นใจในการใช้จ่าย การเติบโตชะลอตัว จนเศรษฐกิจเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation)
ธนาคารกลางอย่าง Fed และ ECB จึงต้องใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำติดดิน และมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ เพื่อหวังให้เศรษฐกิจกลับมาคึกครื้นมากขึ้น แต่ท้ายที่สุด ผลลัพท์กลับไม่ได้เป็นตามที่ต้องการมากนัก
หลังโควิด: เมื่อเงินเฟ้อกลายเป็น “ตัวร้าย”
เมื่อทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในปีเดียว
หลังโควิด ภาครัฐทั่วโลกอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอย่างมหาศาลเพื่อประคองเศรษฐกิจ ขณะที่ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก การขนส่งติดขัด และต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผลที่ตามมาคือ “เงินเฟ้อพุ่งแรง” ในระดับที่ไม่เคยเห็นมานานหลายสิบปี และกลายเป็นจุดเปลี่ยนของวัฏจักรเศรษฐกิจใหม่ จากยุคดอกเบี้ยต่ำ สู่ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น
1. เงินเฟ้อดี (Good Inflation): สัญญาณของเศรษฐกิจที่เติบโต
เงินเฟ้อเชิงบวก หรือ “Demand-Pull Inflation“ เกิดขึ้นเมื่ออุปสงค์หรือความต้องการบริโภค มีมากเกินอุปทานที่ผลิตได้ ทำให้คนในเศรษฐกิจมีรายได้เพิ่มขึ้น มั่นใจในอนาคต และกล้าใช้จ่ายมากขึ้น
ทางด้านธุรกิจก็ขายดี มีกำไรเพิ่ม จ้างงานมากขึ้น รายได้ของประชาชนก็เติบโตตาม ซึ่งเป็นกลไกตลาดทำให้ราคาสินค้าและบริการค่อย ๆ ปรับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
รูปแบบนี้คือเงินเฟ้อที่มาพร้อมการเติบโต เป็นที่ต้องพอใจของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจโตร้อนแรงเกินไป ราคาสินค้าปรับขึ้นเร็วจนไร้การควบคุม ธนาคารกลางก็อาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เสมือนการเหยียบเบรก เพื่อชะลอไม่ให้เงินเฟ้อเร่งเร็วเกินไป
สำหรับนักลงทุน
- ช่วงที่มี Demand-Pull Inflation มักเป็นเวลาที่ตลาดหุ้นเติบโตแข็งแกร่ง
- กลุ่มที่มักได้รับอานิสงส์ คือ เทคโนโลยี สินค้าอุปโภคบริโภค อสังหาริมทรัพย์ และการเงิน
- กลยุทธ์ที่เหมาะสม คือ เน้นหุ้นเติบโตและหุ้นบริโภคภายในประเทศ
- ควรลดการถือครองพันธบัตรระยะยาว เพราะอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มขยับขึ้น เมื่อเงินเฟ้อร้อนแรงขึ้น
- อาจพิจารณาใช้ช่วงตลาดร้อนแรง ทยอยลดพอร์ตทำกำไร และปรับพอร์ตให้อยู่ในระดับสมดุลอยู่เสมอ
2. เงินเฟ้อร้าย (Bad Inflation): ต้นทุนที่กัดกินเศรษฐกิจ
อีกด้านหนึ่งของเงินเฟ้อ คือ “Cost-Push Inflation” หรือเงินเฟ้อที่เกิดจากต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น มักมาจากปัจจัยที่นอกเหนือการควบคุมของเศรษฐกิจ เช่น ราคาน้ำมันพุ่งสูงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน วัตถุดิบ หรือค่าแรงที่พุ่งขึ้นเร็วในช่วงเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นเต็มที่
ผลที่ตามมาคือราคาสินค้าปรับสูงขึ้น ขณะที่รายได้ของประชาชนโตไม่สอดคล้องกับต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำลังซื้อหดตัวและเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้
รูปแบบนี้ คือเงินเฟ้อที่ไม่มีความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจรองรับ และมักสร้างแรงกดดันให้ธนาคารกลางต้องเจอโจทย์ยากของการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ แต่ต้องแลกด้วยเศรษฐกิจชะลอตัว
หากธนาคารกลางตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยน้อยเกินไปหรือช้าเกินไป ก็อาจทำให้เงินเฟ้อสูงกว่ากรอบควบคุมได้ ในทางกลับกัน หากขึ้นดอกเบี้ยหรือเข้มงวดมากเกินไป เศรษฐกิจก็อาจทรุดตัวจนถึงขั้นถดถอยได้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งสภาวะที่นโยบายการเงินทำงานได้ยากยิ่ง
สำหรับนักลงทุน
- ในภาวะ Cost-Push Inflation ควรอยู่ในโหมดตั้งรับมากกว่ารุก
-หุ้นกลุ่มพลังงานอาจได้รับประโยชน์จากราคาสินค้าพลังงานที่เพิ่มขึ้น
- สินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ เช่น ทองคำ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กองทุนตลาดเงิน REITs ที่มีสัญญาเช่าปรับตามเงินเฟ้อ
จะได้รับความสนใจมากขึ้น
- กลยุทธ์ที่เหมาะสม คือการเพิ่มน้ำหนักสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต
- เน้นการลงทุนที่ให้กระแสเงินสดสม่ำเสมอ มากกว่าการเติบโตระยะสั้น
-พิจารณาการลงทุนในหุ้น Defensive เช่น สาธารณูปโภค และสินค้าอุปโภคจำเป็น และหลีกเลี่ยงกลุ่มที่อ่อนไหวต่อการ
ขึ้นดอกเบี้ย
3. เมื่อ “เงินเฟ้อดีกลายเป็นแรงกดดัน” และ “เงินเฟ้อร้ายอาจซ่อนโอกาส“
แม้เงินเฟ้อเชิงบวกจะสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่หากความต้องการร้อนแรงเกินขีดจำกัดของการผลิต ราคาที่พุ่งขึ้นเร็วเกินไปอาจกลับมาทำร้ายเศรษฐกิจได้ในที่สุด
ในทางกลับกัน เงินเฟ้อเชิงลบจากต้นทุนอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับตัวและปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น การเร่งลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเมื่อน้ำมันราคาแพง หรือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลิตภาพ ที่ช่วยลดต้นทุนได้ในอนาคต
Takeaway สำหรับนักลงทุน
- เงินเฟ้อไม่ใช่ตัวร้ายเสมอไป แต่เป็นกระจกสะท้อนจังหวะของเศรษฐกิจ
- สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจที่มาของเงินเฟ้อ เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับแต่ละสถานการณ์
- กรณี Demand-Pull Inflation ควรมองหาโอกาสในหุ้นเติบโตและการขยายตัวของเศรษฐกิจ
- หากเป็น Cost-Push Inflation ควรปรับพอร์ตให้อิงสินทรัพย์ปลอดภัย และเน้นกระแสเงินสด
- และอย่าลืมว่าทุกวัฏจักรของเงินเฟ้อ คือโอกาสของนักลงทุนที่เข้าใจเกมเศรษฐกิจเสมอ
คำเตือน : ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผู้เขียน: เขมรัฐ ทรงอยู่
รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ
บลจ.กรุงไทย